10 วิธีในการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ปลอดภัยสุดๆ

ลองนึกถึงเวลาที่คุณออกจากบ้านโดยไม่มีร่ม มักจะมีฝนตกเกือบทุกครั้ง แต่เมื่อคุณจำได้ว่าเอาร่มติดไปด้วย คุณจะได้เห็นท้องฟ้าที่แจ่มใส

สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับความปลอดภัยสำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณ ถ้าคุณไม่ใช้เวลาในการสร้างมาตรการด้านความปลอดภัย คุณจะรู้สึกผิดหวังสำหรับการละเลยความปลอดภัยในช่วงเวลาก่อนหน้านี้หากคุณถูกแฮก อย่าคิดว่า “นั่นจะไม่เกิดขึ้นกับฉัน”

ความปลอดภัยมีความสำคัญมากสำหรับผู้ค้าทางออนไลน์ทุกคน แต่เมื่อเริ่มต้นร้านค้าของคุณ อาจจะมองว่ามาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดเป็นเรื่องเล็กน้อยแทนที่จะเป็นความสำคัญ นี่คือสิ่งง่าย ๆ และที่สามารถทำได้เมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซใหม่ของคุณ

1) เลือกโฮสต์อย่างชาญฉลาด

ขั้นตอนแรก ถ้าคุณพยายามให้ความสำคัญกับความปลอดภัย โฮสต์ของคุณก็ควรทำเช่นกัน เลือกโฮสต์ที่เชื่อถือได้และน่าไว้วางใจ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีชื่อเสียงและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอย่างชัดเจน

ข้อมูลด้านความปลอดภัยของโฮสต์ควรจะเห็นได้ชัดเจนในเว็บไซต์ของพวกเขา มองหาโฮสต์ที่:

• ตรวจสอบและป้องกันการโจมตี
• มีซอฟต์แวร์เซิร์ฟเวอร์ที่ทันสมัย คุณต้องการโฮสต์ที่มีซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยที่สุด
• แยกการติดเชื้อ/การแฮก เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของไวรัสไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ บนเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ร่วมกัน คุณต้องการโฮสต์ที่สามารถหยุดการติดเชื้อหรือการแฮกได้ทันที

2) เลือกรหัสผ่านอย่างตั้งใจ

คุณรู้แล้วว่านี่จะอยู่ในรายการ ใช่ ส่วนใหญ่เว็บไซต์จะไม่อนุญาตให้ใช้รหัสผ่านถ้าไม่เป็นไปตามข้อกำหนดบางประการ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะไซต์ต่าง ๆ ได้ประโยชน์จากการที่ลูกค้าของพวกเขาสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตามผู้คนยังคงมองข้ามการสร้างรหัสผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อตั้งรหัสผ่านให้คุณตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้:

• ผสมผสานตัวอักษรใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลขและสัญลักษณ์
• อย่าใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับทุกบัญชี เมื่อรหัสผ่านของบัญชีหนึ่งถูกค้นพบ บัญชีอื่น ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้
• รหัสผ่านของคุณต้องยาว รหัสผ่านที่ยาวมีความสำคัญ เนื่องจากความยาวของรหัสผ่านจะยิ่งเพิ่มความยากในการแฮก
• ไม่ใช้รหัสผ่านที่สามารถเดาได้ วันเกิดหรือวันครบรอบ รวมถึงชื่อสุนัขของคุณก็สามารถเดาได้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำในพจนานุกรมด้วย
• รหัสผ่านของคุณใช้เวลานานเท่าไรที่จะเป็นรหัสผ่านอย่างนี้ มาตรฐานของอุตสาหกรรมคือการเปลี่ยนรหัสผ่านทุก 90 วัน แต่ไม่ควรปล่อยให้สิ่งนั้นหยุดคุณจากการทำมันบ่อยกว่านั้น

ในทางกลับกัน คุณควรให้ลูกค้าของคุณมีรหัสผ่านที่แข็งแกร่งเช่นกัน ถือว่าลูกค้าของคุณมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยเท่ากับที่คุณมี มันเป็นความรับผิดชอบของคุณที่จะต้องมั่นใจว่าร้านค้าของคุณมีความปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้

3) เก็บรหัสผ่านของคุณอย่างปลอดภัย

คิดว่ารหัสผ่านของคุณซับซ้อนเกินกว่าจะจำได้ไหม? ลองนึกใหม่
คุณไม่จำเป็นต้องจำด้วยตัวเอง มีปลั๊กอินที่ปลอดภัยมากมายที่สามารถเก็บรหัสผ่านได้อย่างปลอดภัย

ที่ Shoprocket เราใช้ Passopolis ปลั๊กอินที่เก็บข้อมูลการเข้าสู่ระบบสำหรับเครื่องมือและบริการที่เราใช้ ด้วยการใช้นี้ เรายังสามารถใช้เครื่องสร้างรหัสผ่าน ดังนั้นเราจึงไม่รู้แม้กระทั่งรหัสผ่านของเราทั้งหมด ทุกอย่างถูกเข้ารหัสและจัดการสำหรับคุณ

กังวลว่าไม่สามารถหาบริการหรือวิธีในการเก็บรหัสผ่านของคุณอย่างปลอดภัยได้? แนะนำว่าอย่าทำออนไลน์เลย

4) ตั้งไฟร์วอลล์ที่แข็งแกร่ง

ไฟร์วอลล์เป็นระบบฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ระหว่างสองเครือข่ายหรือมากกว่า ช่วยให้การเข้าถึงที่ได้รับอนุญาตและป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตหรืออันตรายจากการเข้าถึงเครือข่ายหรือระบบ

นี่มีความสำคัญโดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเพราะพวกเขาได้รับการเข้าชมทางเข้าจำนวนมาก ไฟร์วอลล์จะตรวจสอบการเข้าชมดังกล่าว ปกป้องระบบของคุณจากภายในออก

การตั้งค่าไฟร์วอลล์อย่างดีสามารถป้องกันการโจมตีที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ระบบของคุณมึนงง และบล็อกคำขอที่ถูกต้องซึ่งเรียกว่า DoS และ DDoS ประเภทของไฟร์วอลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ค้าทางออนไลน์คือเกตเวย์หรือพร็อกซีไฟร์วอลล์

5) รับตัวเลือกการยืนยันตัวตนแบบสองปัจจัย

การยืนยันตัวตนแบบสองปัจจัย (หรือ 2FA) เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงล็อกอินของคุณ เป็นระดับความปลอดภัยที่สองนอกเหนือจากรหัสผ่าน และมักจะรวมถึงการใช้สมาร์ทโฟนของคุณ

เครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเรื่องนี้คือ Google Authenticator มันสร้างรหัสหรือรหัส QR และส่งไปยังสมาร์ทโฟนของคุณ เพื่อที่จะเข้าถึงร้านค้าของคุณ คุณต้องป้อนทั้งรหัสผ่านและรหัส เมื่อเป็นเช่นนี้ แฮกเกอร์และไวรัสจะไม่สามารถตรวจสอบการเข้าระบบของคุณได้อย่างแท้จริง

6) ใช้ซอฟต์แวร์การเข้ารหัส

นอกจากการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านระหว่างเว็บไซต์และเบราว์เซอร์แล้ว คุณยังควรรักษาอัลกอริธึมที่เข้ารหัสเพื่อป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์เข้าถึงโค้ดของคุณ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ควรระมัดระวังไว้เพื่อความปลอดภัย

การรับรองความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์เป็นสิ่งจำเป็น มาตรฐานเทคโนโลยีความปลอดภัยในอุตสาหกรรมในการสร้างการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสระหว่างเซิร์ฟเวอร์เว็บและเบราว์เซอร์คือตราสาร SSL (Secure Sockets Layer) ข้อมูลทั้งหมดที่จะผ่านระหว่างเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์ยังคงเป็นส่วนตัวและได้รับการป้องกัน หากต้องการติดตั้งการเชื่อมต่อ SSL คุณจะต้องการการรับรอง SSL นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์ทั้งหมด สำหรับ SSL ฟรีที่ตั้งค่าได้ง่ายมากลองใช้ CloudFlare สำหรับผู้ที่มีความชำนาญทางเทคโนโลยีมากขึ้นให้ตรวจสอบ Let’s Encrypt.

HTTPS เป็นเวอร์ชันที่ปลอดภัยของ HTTP โดยมี “S” เพิ่มเข้าไป มันชี้ให้เห็นว่าการสื่อสารทั้งหมดระหว่างเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์ถูกเข้ารหัส ซึ่งให้ช่องทางที่ปลอดภัยในเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย HTTPS มักใช้โปรโตคอล SSL สำหรับการเข้ารหัส และเมื่อคุณขอการเชื่อมต่อ HTTPS คุณจะต้องมีการรับรอง SSL เราขอแนะนำให้ร้านค้าใช้ HTTPS ในเว็บไซต์ทั้งหมด และถ้านั่นยังไม่ดึงดูดมากพอ Google ยังแนะนำให้ทำเช่นนั้น!

7) ค้นหาช่วยเหลือเครื่องมืออื่น ๆ

ตัวอย่าง:

• JetPack Protect: ป้องกันการเข้าสู่ระบบแบบบังคับและให้ข้อมูลว่าแหล่งที่มาที่พยายามจะแฮกคุณคืออะไร
• VaultPress: ซอฟต์แวร์ที่ให้การสำรองข้อมูลอัตโนมัติและเรียกคืนได้, ตรวจสอบความปลอดภัยทุกวันสำหรับรหัสที่น่าสงสัย, ป้องกันสแปมในรีวิวและความคิดเห็น
• มีเครื่องมือสแกนเว็บไซต์ฟรีที่ตรวจจับช่องโหว่จำนวนมาก ตัวอย่างเช่น:
• Quttera
• SUCURI
• Google Malware Checker
• Metascan
• WebInspector

8) อย่าละเลยการอัปเดตของคุณ

เราทุกคนก็เป็นแบบนี้ แต่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด กำหนดตารางเวลาสำหรับตัวคุณเพื่อกันเวลาในการอัปเดต ทำไมมันถึงสำคัญ? การอัปเดตมักจะรวมมาตรการด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมที่จัดการกับกลยุทธ์การโจมตีที่เกี่ยวข้องมากที่สุด

9) ให้ละเลยอีเมลและตัวเลือก Wi-Fi ที่น่าสงสัย

การเปิดอีเมลที่น่าสงสัยอาจปลดปล่อยไวรัสไปยังเซิร์ฟเวอร์ของคุณดีที่สุดคือการลบทุกอย่างที่คุณคิดว่าดูแปลก ในลักษณะเดียวกัน ให้แน่ใจว่าคุณใช้เครือข่าย Wi-Fi ที่คุ้นเคยหรือมีความน่าเชื่อถือเท่านั้น การเข้าสู่ระบบด้วยข้อมูลประจำตัวของคุณผ่านเครือข่ายที่ถูกแฮกทำให้คุณตกอยู่ในความเสี่ยง

10) ให้ความรู้พนักงาน

คุณทำได้เพียงเท่านี้เพื่อปกป้องร้านค้าออนไลน์ของคุณหากพนักงานของคุณไม่ให้ความสำคัญกับแนวทางที่ดีที่สุดนี้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องตรวจสอบกับทีมของคุณ เพราะพวกเขาอาจจะรู้ข้อมูลการเข้าบริหารด้วย พวกเขาก็รับผิดชอบในการป้องกันเช่นกัน

ให้แน่ใจว่าพวกเขารู้วิธีการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและข้อมูลลูกค้า พวกเขาไม่ควรแชร์ข้อมูลนั้นผ่านช่องทางใด ๆ ที่ไม่ปลอดภัย

นอกจากนี้ ทั้งบริษัทของคุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องข้อมูลของลูกค้าของคุณเช่นกัน อย่าปล่อยให้การขาดความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยทำให้คุณสูญเสียความไว้วางใจจากพวกเขา

นี่คือสรุป:

1. เลือกโฮสต์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าที่คุณพยายามทำ
2. เลือกอีเมลและบังคับพนักงานและลูกค้าของคุณให้ทำตาม
3. ตั้งไฟร์วอลล์ที่แข็งแกร่ง
4. เก็บรหัสผ่านของคุณอย่างปลอดภัยหรือไม่เก็บเลย
5. มองหาตัวเลือก 2FA อย่างจริงจัง
6. เข้ารหัส, เข้ารหัส, เข้ารหัส
7. ตรวจสอบเครื่องมือที่มีอยู่ทั้งหมด แต่ไม่ควรเชื่อแค่ใครก็ได้ ให้ทำการวิจัย!
8. อย่าละเลยการอัปเดต
9. ให้มองข้ามอีเมลและเครือข่าย Wi-Fi ที่น่าสงสัย
10. ให้ความรู้แก่พนักงานของคุณ

เรารู้ว่ามันอาจดูยาก แต่ที่จริงมันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราสร้าง Shoprocket เพื่อให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่การขาย ในขณะที่เราจัดการทุกอย่างอื่น